RFID เป็นระบบที่นำเอาคลื่นวิทยุมาเป็นคลื่นพาหะเพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์สองชนิดที่เรียกว่า แท็กส์ (Tag) และตัวอ่านข้อมูล (Reader หรือ Interrogator) ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless) โดยการนำข้อมูลที่ต้องการส่ง มาทำการมอดูเลต (Modulation) กับคลื่นวิทยุแล้วส่งออกผ่านทางสายอากาศที่อยู่ในตัวรับ
การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างระบบ RFID กับระบบกับระบบบาร์โค้ด (Barcode System) และระบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card System)1. ระบบบาร์โค้ด (Barcode System): บาร์โค้ดจัดเป็นระบบ Automatic ID ที่ได้รับความนิยม และนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากต้นทุนต่ำ ดังนั้นจึงมีการนำมาประยุกต์เข้ากับงานหลายๆ ด้าน ผู้ใช้ยังคงที่จะต้องป้อนข้อมูล หรือมีโปรแกรมบางส่วนในการรองรับการทำงานกับระบบบาร์โค้ดนั้นๆ ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วระบบบาร์โค้ดเป็นเพียงการนำเอาระบบ Automatic ID เข้ามาช่วยในการอินพุทข้อมูลเพื่อความรวดเร็ว และแม่นยำโดยใช้เวลาที่น้อยลง เป็นการทำงานแบบ Manual
ข้อจำกัดของบาร์โค้ด (Barcode System): จัดเก็บข้อมูลได้จำกัด เสียหายง่าย หรือมีปัญหาระหว่างการอ่าน เมื่อ บาร์โค้ดเลือนลาง เป็นต้น
2. ระบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card System): ส่วนระบบ Auto ID เป็นระบบที่อยู่ในรูปแบบบัตรต่างๆ โดยใช้หลักการเอาแถบแม่เหล็กหรือไมโครชิปในการอ่าน/เขียนข้อมูลสามารถเก็บข้อมูลได้มาก มีความปลอดภัย
ข้อจำกัดของสมาร์ทการ์ด (Smart Card System): เนื่องจากเป็นแถบแม่เหล็กวิธีการอ่านข้อมูลจากสมาร์ทการ์ดจะต้องใช้วิธีสัมผัสทำให้เกิดการสึกหรอของเครื่องอ่าน
เราจึงได้มีการนำระบบ RFID มาใช้เพื่อขจัดปัญหาต่างๆ ที่เป็นข้อเสียของ 2 ระบบดังกล่าวนี้
3. ระบบ RFID : สำหรับ RFID tags หรือป้ายที่ติด RFID นั้นจะถูกออกแบบให้สามารถอ่านได้จากระยะห่างหลายเมตรโดยไม่ต้องนำมาวางไว้ใกล้กับเครื่องอ่าน และไม่ต้องวางให้ตรงกับหัวอ่าน RFID สามารถใช้ได้ระยะไกล (ประมาณ 20 ฟุต สำหรับอุปกรณ์ที่มีความถี่สูง) ถ้าสมมติว่าเรานำ RFID มาใช้แทนบาร์โค้ดเวลาซื้อของแล้ว สินค้าแต่ละชิ้นจะมี RFID กำกับอยู่ถ้าเราใส่ถุงแล้วเดินผ่านเครื่องอ่าน อุปกรณ์ก็จะทำการอ่านและคำนวณราคาของรายการสินค้าทั้งหมดให้ได้ทันทีเลย ซึ่งต่างจากการใช้บาร์โค้ดที่จะต้องอ่านทีละรายการ ดังนั้น RFID จึงต่างจากระบบอ่านข้อมูลอื่นเช่น Barcode หรือ Smart Card ตรงที่ระบบบันทึกข้อมูลอื่นต้อง “สัมผัส” แต่ RFID เป็น Contact less นอกจากนั้นตัว Tag ของระบบ RFID ที่ติดตามตัวสินค้าสามารถบรรจุ ไมโครชิพเพื่อเก็บข้อมูล มีหน่วยความจำมากกว่ารหัสแถบสี ของบาร์โค้ด จะเห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีบันทึกข้อมูลสินค้าอื่น RFID นอกจากเก็บข้อมูลได้เยอะกว่า ป้องกันขโมยได้ และสามารถคิดเงินได้รวดเร็ว RFID จึงสามารถเข้ามาทดแทนเทคโนโลยีบาร์โค้ดได้ การใช้งานสามารถนำไปใช้ได้หลายลักษณะ
จุดเด่นของระบบ RFID อยู่ที่การอ่านข้อมูลได้แบบไร้สาย ไร้แสง และไร้สัมผัส และสามารถอ่านค่าได้แม้ในสภาพที่ ทัศนวิสัยไม่ดี ทนต่อความเปียกชื้น แรงสั่นสะเทือน การกระทบกระแทก สามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง โดยข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในไมโครชิป
คุณลักษณะเด่นของระบบ RFID สามารถแบ่งได้เป็น 6 หัวข้อใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ระบบการอ่านอัตโนมัติ (Automation reading without human intervention) ระบบนี้จะแตกต่างจากระบบบาร์โค้ด โดยไม่จำเป็นต้องใช้คนในการดำเนินการ หรืออยู่ในกระบวนการผลิต แต่ถ้าเป็นระบบ RFID เราสามารถประยุกต์กับตัวเซ็นเซอร์ในการอ่านหรือเขียนเข้าระบบอัตโนมัติ โดยจะลดปัญหาของคนดำเนินการ หรือความผิดพลาดจากคนได้
2. การอ่านเขียนแบบไม่มีการสัมผัส (Contact free reading) ในการอ่านหรือเขียนข้อมูลจาก ID Tags สามารถทำได้เมื่อตัวควบคุม และ ID Tags อยู่ในระยะการสื่อสารซึ่งขึ้นอยู่กับสเป็คของแต่ละรุ่น
3. อ่านค่าจาก Tags หลายตัวในเวลาเดียวกัน (Multiple tags can be read simultaneously) การใช้งานระบบ RFID ผู้ใช้งานสามารถอ่านค่าใน Tags หลายตัวในเวลาเดียวกันได้ เพราะว่าระบบจะส่งคลื่นความถี่วิทยุออกไปอ่านค่าใน Tags จะใช้เวลาสั้นมากในการอ่านค่า และเก็บผลลัพธ์
4. สามารถจุข้อมูลขนาดใหญ่ได้ใน Tags (High capacity data Storage) เมื่อเปรียบเทียบกับบาร์โค้ดระบบ Tags ของ RFID สามารถเก็บได้มากกว่า 100 เท่า โดยจะอาศัยหน่วยความจำใน IC ที่บรรจุอยู่บน ID Tags
5. สามารถนำมาเขียนข้อมูลใหม่ได้ (Rewritable data) ข้อมูลที่บรรจุในชิพ IC บน ID Tags สามารถนำมาเขียนทับใหม่ได้ทำให้นำ ID Tags มาใช้งานซ้ำใหม่ได้
6. มีความทนทาน (Soil-resistant) ตัว ID Tags จะมีความทนทานต่อคราบสกปรก น้ำมัน และสารเคมี ความร้อน และสามารถสื่อสารได้แม้ว่าจะถูกคลุมด้วยคราบน้ำมัน หรือสิ่งสกปรก โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละรุ่นของตัวควบคุม
ข้อจำกัดของ RFID
1. การอ่าน Tag ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่ในเรื่องของเนื้อวัสดุคลื่นที่ใช้หากใช้กับสินค้าพวกเหล็กก็จะ block สัญญาณ หรือวัสดุบางประเภทก็จะดูดกลืนสัญญาณ อีกทั้งตำแหน่งการอ่านของ Reader นั้นยังมีผลอย่างมากต่อการใช้ RFID เช่น หากเอา Tag ติดที่ Pallet ก็จะต้องออกแบบ Reader แบบ Gate หรือไม่ก็เป็นแบบติดที่ Forklift หรืออาจเป็น Handheld ให้พนักงานได้ใช้ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นราคาก็สูงขึ้นตามศักยภาพด้วยการชนกันของเครื่องอ่านและป้ายชนกัน การชนกันของเครื่องอ่านเกิดขึ้นเมื่อสัญญาณจากเครื่องอ่านตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมีการซ้อนทับกันของสัญญาณ ป้ายจะไม่สามารถตอบสนองต่อการอ่านได้พร้อมๆ กัน ระบบจะต้องมีการติดตั้งในลักษณะที่จะไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว ป้ายชนกันเกิดขึ้นเมื่อมีป้ายหลายๆ อันอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แต่เนื่องจากการอ่านนั้นทำได้รวดเร็วจึงเป็นการง่ายที่ผู้ผลิตพัฒนาระบบที่แน่ใจได้ว่าป้ายจะตอบสนองต่อการอ่านทีละครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น