แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Discontinuous Innovation แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Discontinuous Innovation แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Discuss the differences on strategic focuses between radical and incremental innovation?

Executive Summary

นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง ความคิด การกระทํา หรือวัตถุใหม่ๆ ซึ่งถูกรับรู้ว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ นวัตกรรมอาจหมายถึงสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทํามาก่อนเลย หรือสิ่งใหม่ที่เคยทํามาแล้วในอดีตแต่ได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ หรือสิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม โดยสามารถจำแนกประเภทของนวัตกรรมเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ Radical Innovation และ Incremental innovation นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation) หรือเรียกได้อีกอย่างว่านวัตกรรมแบบไม่ต่อเนื่อง (Discontinuous Innovation) หมายถึง ขบวนการเสนอสิ่งใหม่ที่ใหม่อย่างแท้จริงสู่สังคม โดยการเปลี่ยนแปลงค่านิยม (value) ความเชื่อเดิม (belief) ตลอดจนระบบคุณค่า (value system) ของสังคมอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่นอินเตอร์-เน็ท (Internet) ซึ่งเป็นนวัตกรรมหนึ่งในยุคโลกข้อมูลข่าวสาร การนำเสนอระบบอินเตอร์เน็ท ทำให้ค่านิยมและระบบคุณค่าของข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนไป ส่วนนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Incremental innovation) เป็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมจากรูปแบบเดิมของผลิตภัณฑ์และกระบวนการไปสู่รูปแบบใหม่อย่างเป็นลำดับขั้น เช่น การเพิ่มความจุของหน่วยความจำใน USB Disk ที่มากขึ้นและเล็กลงเรื่อย ๆ

ในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีหรือ Innovation ขององค์กร ถ้าเปรียบเทียบถึงความเสี่ยงจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนานวัตกรรมแบบ Radical จะมีความเสี่ยงมากกว่า Incremental อย่างไรก็ตามผลตอบแทนที่ได้ย่อมมากกว่าเช่นกัน ดังนั้น องค์กรจำเป็นต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนั้นๆ นำไปซึ่งการพัฒนางค์กรและธุรกิจอย่างแท้จริง

ความหมายของนวัตกรรม (Innovation) Everette M. Rogers (1983) ได้ให้ความหมายของคําว่า นวัตกรรม (Innovation) ว่า นวัตกรรมคือ ความคิด การกระทํา หรือวัตถุใหม่ๆ ซึ่งถูกรับรู้ว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวบุคคลแต่ละคนหรือหน่วยอื่นๆ ของการยอมรับในสังคม (Innovation is a new idea, practice or object, that is perceived as new by the individual or other unit of adoption)
ดังนั้น นวัตกรรมอาจหมายถึงสิ่งใหม่ๆ ดังต่อไปนี้
1. สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทํามาก่อนเลย
2. สิ่งใหม่ที่เคยทํามาแล้วในอดีตแต่ได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
3. สิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม

นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation) หรือเรียกได้อีกอย่างว่านวัตกรรมแบบไม่ต่อเนื่อง (Discontinuous Innovation) หมายถึง ขบวนการเสนอสิ่งใหม่ที่ใหม่อย่างแท้จริงสู่สังคม โดยการเปลี่ยนแปลงค่านิยม (value) ความเชื่อเดิม (belief) ตลอดจนระบบคุณค่า (value system) ของสังคม อย่างสิ้นเชิง เป็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมจากรูปแบบเดิมของผลิตภัณฑ์และกระบวนการไปสู่รูปแบบใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างจากวิธีการเดิมอย่างสิ้นเชิงและเปลี่ยนแปลงไปตามการค้นพบ ซึ่งอาจจะไม่มีความต่อเนื่องหรือเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดก็ได้ การพัฒนาในรูปแบบนี้จะมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงทั้งจากการผลิต การทำ R&D การตลาด ความใหม่ของเทคโนโลยี โดยต้องใช้เวลาและการลงทุน เช่น การเปลี่ยนแปลงจาก Floppy Disk มาเป็น USB Disk (กมลภัทร บุญค้ำ, 2543) นอกจากนี้ นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation) ยังได้รับการให้นิยามโดยผู้เชี่ยวชาญว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมาก อีกทั้งยังเพิ่มสมรรถนะของผลิตภัณฑ์ขึ้นนับสิบเท่าหรือไม่ก็เพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ ให้กับความสามารถของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ภายใต้คำนิยามดังกล่าวนี้เห็นได้ชัดเจนว่านวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนไม่สามารถได้มาง่ายๆ ตัวอย่างเช่นอินเตอร์-เน็ท (Internet) จัดว่าเป็นนวัตกรรมหนึ่งในยุคโลกข้อมูลข่าวสาร การนำเสนอระบบอินเตอร์เน็ท ทำให้ค่านิยมเดิมที่เชื่อว่า โลกข้อมูลข่าวสารจำกัดอยู่ในวงเฉพาะทั้งในด้านเวลาและสถานที่นั้นเปลี่ยนไป อินเตอร์เน็ทเปิดโอกาสให้ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลอย่างไร้ขีดจำกัดทั้งในด้านของเวลาและระยะทาง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ทำให้ระบบคุณค่าของข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนแปลงไป

นวัตกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Incremental innovation) หมายถึง รูปแบบของการแข่งขันที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการปรับปรุงสินค้าหรือบริการที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น โดยอาศัยความรู้ทางเทคนิคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลัก (Core components) เป็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมจากรูปแบบเดิมของผลิตภัณฑ์และกระบวนการไปสู่รูปแบบใหม่อย่างเป็นลำดับขั้น หรือเปลี่ยนแปลงไปเพียงบางส่วนโดยมีการพัฒนามาจากรูปแบบเดิมของผลิตภัณฑ์ๆ เช่น การเพิ่มความจุของหน่วยความจำใน USB Disk ที่มากขึ้นและเล็กลงเรื่อย ๆ

ตัวอย่างของ นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation)
3G เป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดียและส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูง เป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมไร้สาย เนื่องจากเป็นการพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่มิใช่เสียงพูด (Non-voice) สูงมากขึ้น เทคโนโลยี 3G มีการพัฒนาช่องสัญญาณความถี่และความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเดิม รวมทั้งมีการพัฒนารูปแบบการให้บริการที่หลากหลายทั้งในด้าน Software Content และ Application ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
วิวัฒนาการของเทคโนโลยี 3G เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาอุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ทั้งในด้านเทคโนโลยีพื้นฐาน กลุ่มเป้าหมาย และความพร้อมของตลาด ทั้งนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันพัฒนาตลาดไปในทิศทางที่สมเหตุสมผลทั้งสำหรับผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ดังนี้

ผู้ให้บริการ (Operator) ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างของเครือข่าย
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่ายสัญญาณวิทยุมากขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถของเครือข่ายโดยรวม
- การลงทุนติดตั้งสถานีฐานขึ้นใหม่เพื่อรองรับเทคโนโลยี 3G
- การลงทุนกับ Software Upgrade เครือข่ายและอุปกรณ์รับส่งสัญญาณวิทยุ
- การลงทุนกับเครื่องโทรศัพท์ โดยมีการพัฒนาในส่วนของ Battery, หน่วยความจำ

ผู้ใช้บริการ (End User)
- การลงทุนซื้อเครื่องโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่สามารถรองรับเทคโนโลยีของ 3G

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา การพัฒนาเทคโนโลยีของ 3G มีการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ ทั้งทางด้านการลงทุนในการสร้างเครือข่าย การพัฒนา Software ควบคุมทั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณและรับสัญญาณ เป็นการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์และกระบวนการจากรูปแบบเดิมไปสู่รูปแบบใหม่อย่างสิ้นเชิง ในด้านของผู้ใช้เองก็ยังต้องเปลี่ยนตัวโทรศัพท์มือถือเป็นรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ ซึ่งเป็นลักษณะของการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ที่สัมพันธ์กับรูปแบบของ นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง หรือ Radical Innovation

ตัวอย่างของ นวัตกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Incremental innovation)

นวัตกรรม (Innovation) ส่วนมากจะเป็นแบบ Incremental คือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยโดยเป็นการปรับปรุงระบบหรือกระบวนการทำงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น วินโดวส์ 98 ไป วินโดวส์ 2000 เป็นต้น จากการศึกษาของ Hollander’s famous study of Du Pont rayon plants พบว่าการเปลี่ยนแปลงแบบ incremental จะก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาวมากกว่าการเปลี่ยนแปลงแบบรวดเร็วฉับพลัน การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่เป็น Platform หรือ Robust เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้การพัฒนานวัตกรรมแบบ Incremental เกิดผลดีต่อองค์กรได้ เพราะหากได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น platform หรือเป็น family แล้ว การคิดค้นนวัตกรรมทีละเล็กทีละน้อยจะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่อยู่ใน family นั้น ซึ่งเป็นการยืดระยะเวลาของช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น การออกแบบ Robust design ของ Boeing airlines หรือไมโครโพรเซสเซอร์ของคอมพิวเตอร์จะเห็นได้ชัดเจน เช่น Intel มี 286, 386, 486, Pentium, Celeron, Centrino, Duo core เป็นต้น ชัดเจนมากที่สุดคือ Pentium 1-4 และ AMD เช่น Athlon และ Duron เป็นต้น ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ Walkman ที่เป็นวิทยุขนาดพกพา เริ่มพัฒนามาจากระบบวิทยุและเทป และได้พัฒนามาเรื่อยๆ จนเป็น minidisk, CD, DVD และเครื่องเล่น MP3 ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีการพัฒนากระบวนการทำงานของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลาจากความคิดที่เป็น Platform ต้นแบบ

นอกจากนี้ยังมีการนำ Incremental Innovation มาใช้กับ culture ขององค์กร ตังอย่างเช่นบริษัทเครือซีเมนต์ไทย มีการต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ปัจจุบัน ดัดแปลง หรือปรับปรุงโพรเซสให้ดีขึ้น ถ้าในแง่วัฒนธรรมองค์กร มี 4 เรื่องที่บริษัทเครือซีเมนต์ไทยพยายามสร้าง คือ Think Out of the Box (การคิดนอกกรอบให้ได้) Open-minded (การเปิดใจ รับฟังคนอื่น ให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมา) Risk Taker (ความกล้าตัดสินใจ กล้าลองผิดลองถูก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้) และ Personal Mastery (นิสัยหมั่นค้นคว้า เรียนรู้ด้วยตนเอง) นอกจากนี้ เทคโนโลยีอินทราเน็ตถูกนำมาใช้ในการสร้างแหล่งเรียนรู้ที่ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา โดยมีทีมรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับ Innovation รวบรวม Best Practice ขององค์กรต่างๆ รวมทั้งหนังสือดีๆ ก็ถูกจัดเป็น Book Briefing ไว้ในเว็บไซด์ เป็น e-learning สำหรับพนักงานทุกคน นอกเหนือจากการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน Innovation มาบรรยายอย่างต่อเนื่อง และมีการจัด Communication Package ใช้สื่อภายในองค์กรแบบดั้งเดิม ทำหนังสือพิมพ์ขนาดแท็บลอยด์ “Inno News” ส่งถึงพนักงานทุกคน

ในการสร้าง Innovation Culture ของเครือซิเมนต์ไทย เริ่มมาจาก Incremental innovation ซึ่งอยู่ในระดับกลาง เกิดจากการต่อยอดความคิดสร้างเป็นสิ่งใหม่ที่มีคุณค่ากว่าเดิม ซึ่งวิธีการที่นำมาใช้เป็นรูปแบบในการเรียนรู้ คือ ทำ E-Learning, Training มีการจัดค่ายให้กับนักศึกษาเพื่อทำการคัดเลือกบุคลากร เป็นต้น ส่วนในเรื่องของการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรม มีการตั้งเงินรางวัลที่ค่อนข้างสูง ซึ่งทางเครือเครือซิเมนต์ไทยได้นำหลักการและทฤษฎีต่างๆ มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว สร้างสรรค์กิจกรรมนำร่องและสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการเกิดการคิดสร้างสรรค์จนเกิดนวัตกรรม ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจจนถึงในปัจจุบันและยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สรุป
ทุกวันนี้อุตสาหกรรมต่างๆ มุ่งที่จะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของตนให้เป็นนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อให้ครอบคลุมตลาดแบบ Global ในการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภค ความไม่แน่นอนในแนวโน้ม (trend) ของ segment และตลาด แม้ว่าการพัฒนานวัตกรรมแบบ Incremental เป็นการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังพัฒนานั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ และจะมีผลกระทบกับสินค้าหรือบริการเดิมหรือไม่ นั่นคือความเสี่ยง แต่เมื่อหันมาพิจารณาหากเราต้องการที่จะพัฒนานวัตกรรมให้เป็นแบบ Radical แน่นอนว่ายิ่งจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าจะพัฒนาอะไรและจะมีผลกระทบ อย่างไรก็ตามการบริหารธุรกิจเทคโนโลยีมีคำกล่าวว่า “เสี่ยงมาก ผลตอบแทนมาก” Hi Risk Hi return เพราะการที่หากมีนวัตกรรมที่เป็น Radical Innovation เกิดขึ้นจะสามารถครอบครองตลาดพร้อมทั้งดึงลูกค้าในตลาดเดิมมายังตลาดใหม่ได้ทั้งหมด เพราะหากมีทางเลือกสินค้าทดแทนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า (Substitution Goods) อาทิเช่น การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่ใช้กล้องแบบฟิล์มไปใช้กล้องดิจิตอลทั่วโลก แน่นอนหากผู้นำตลาดกล้องฟิล์มไม่สามารถปรับตัวไปผลิต Radical อย่างกล้องดิจิตอลได้ เขาก็ไม่สามารถอยู่ในอุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปได้อีกต่อไป ผู้ที่เลือกจะพัฒนา Radical อย่างกล้องดิจิตอลนอกจากเป็นผู้นำแล้วยังอาจครองตลาดได้ระยะยาวอีกด้วย